3.2.52

+:: ห้วงรัก ::+

เธอตื่นขึ้นมาตอนเช้า พร้อมกับกดดูข้อความในมือถือ
"ขอโทษที่ใช้มุขเดิมนะ แต่วันนี้อากาศดี อยากชวนไปข้างนอกด้วยกัน"
เธอยิ้มที่มุมปาก ทั้งที่ยังไม่ทันล้างหน้าด้วยซ้ำ แล้วเธอก็จัดแจงพิมพ์ตอบออกไป
"กี่โมง? แล้วจะไปที่ไหนเหรอ?"
ขณะที่ลุกขึ้นพับผ้าห่ม และจัดผ้าปูเตียงให้เรียบร้อย เธอก็ได้ยินเสียงข้อความเข้าจากมือถือ
"ไปหามื้อเที่ยงกินกัน ที่ไหนก็ได้ แล้วแต่จะพาไป"
เธอยิ้มอีกครั้ง (เป็นครั้งที่สองภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที ซึ่งเป็นเรื่องที่หายากมากในชีวิตของเธอ)
"งั้นเจอกันที่ท่าเรือตอน 11:30 นะ"
#####################
หลังจากอาบน้ำ ทำกับข้าว และงานบ้านอีกนิดหน่อย เธอก็แต่งตัวแล้วมองดูเวลาอีกครั้ง ก่อนจะออกไปยังจุดนัดพบ
จากท่าเรือนัดพบ ไปยังท่าเรือปลายทาง กินเวลาเกือบชั่วโมง แต่ทั้งเธอและเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหิวสักเท่าไหร่
พอขึ้นจากท่าเรือ เธอก็พาเขาเดินไปยังป้ายรถเมล์ เพื่อจะต่อนถไปยังสถานที่ที่เธอตั้งใจไว้
ระหว่างรอรถ ก็นั่งคุยกันเรื่องสัพเพเหระ เรื่องชีวิต เรื่องการงาน เรื่องเพื่อน และเรื่องความรัก
โดยที่ต่างคนต่างเลี่ยงที่จะพูดถึง "ความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่าย" ได้เพียงเฉไฉไปเรื่อยถึงเรื่องความรักของบรรดาเพื่อนๆ
เฉียดไป เฉียดมา โดยให้อีกฝ่ายแอบลุ้นอย่างระทึกว่า "จะมีเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในความรู้สึกเหล่านั้นบ้างหรือเปล่านะ"
ผ่านไปสามชั่วโมงกับการรอคอยรถเมล์เพียงสายเดียว ที่จะพาไปถึงจุดหมายที่เธอตั้งใจไว้
จากมื้อเที่ยงกลับกลายเป็นมื้อเย็น แต่ทั้งคู่ก็ดูเหมือนอยากจะนั่งคุยกันแบบนั้นตลอดไป
และเมื่อเธอเริ่มตระหนักว่า... เรื่องที่คุยกันกำลังจะวกเข้ามาตอกย้ำบาดแผลเก่าๆ ของตัวเอง
เธอจึงตัดสินใจเรียกแท๊กซี่เพื่อไปยังร้านจุดหมาย
ผ่านไป 10 นาที ก็ถึงที่ มันเป็นร้านเล็กๆ ที่ไม่ได้หรูหราอะไร แต่เธอก็ทักทายทุกคนในร้านเหมือนกับเป็นญาติฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของเธอ
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ก็แค่ลูกค้ากับผู้ขายเท่านั้น แต่ด้วยอัธยาศัยที่ต่างฝ่ายต่างมี จึงช่วยไม่ได้ หากเธอและเจ้าของร้าน จะรู้จักและผูกมิตรสนิทกันถึงเพียงนี้
หลังจากจัดการมื้อเที่ยง + มื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย เขามองหน้าเธอยิ้มๆ
"วันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่า? ถึงได้พามากินอะไรไกลถึงที่นี่"
เธอเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
"ตั้งใจไว้อย่างนั้นน่ะ ก็เห็นว่าอากาศดี เลยอยากจะพาไปดูอะไรหน่อย"
เขายิ้มอีกครั้ง (เขาเป็นคนที่ยิ้มง่าย และทำให้คนที่อยู่ใกล้รู้สึกผ่อนคลายได้เสมอ) ขณะที่ดูเวลา
"สี่โมงครึ่งแล้วเหรอ สงสัยวันนี้จะไม่มีแดดทั้งวันล่ะมั้ง ว่าแต่เราจะไปไหนกันต่อเนี่ย?"
เธอยิ้มและยักไหล่ แต่ก็ไม่ได้บอกอะไร แล้วทั้งคู่ก็ออกจากร้าน
#####################
ผ่านไปเกือบชั่วโมง เธอยังคงพาเขาเดินวนอยู่ในที่ที่ต่างก็ไม่รู้จัก แต่เขาก็ยังคงเดินคุยนั่น พูดนี่ไปอย่างสนุกสนาน
ส่วนเธอได้แต่เงียบ คลับคล้ายว่าจะเป็นผู้ฟังที่ดี แม้จะหัวเราะไปด้วย แต่สองคิ้วของเธอกลับขมวดเป็นปม ราวกับผูกโบว์ไว้
"จะว่าอะไรมั้ย... ถ้าจะบอกว่าขอโทษ ที่พามาหลง"
เธอถามขึ้นในที่สุด ขณะที่หยุดพักกันหน้าร้านถักผมและสักลาย เขามองหน้าเธอแล้วก็ยิ้มให้
"คิดไว้แล้วล่ะ ว่าคงพาหลง แต่ก็สนุกดีออก ได้เดินไปในที่ที่ไม่เคยเดิน ได้เห็นในมุมที่ไม่เคยเห็น ไม่ต้องเครียดน่ะ อากาศดีๆ แบบนี้ ได้เดินด้วยกันอย่างนี้... ดีที่สุดแล้วล่ะ"
แล้วเธอก็ยิ้มออกมาอีกครั้งทั้งที่ดวงตารื้นไปด้วยน้ำใสๆ ที่กำลังจะล้นออกมา เขาขยี้หัวเธอเบาๆ
"ไม่เอา อย่าร้องนะ เดี๋ยวใครเขาคิดไม่ดี หาว่าผมแกล้ง ว่าแต่จะพาผมไปที่ไหนเหรอ จะได้ถามทางเขาถูก"
"ท่าพระอาทิตย์" เธอบอกเขาเบาๆ อย่างนึกเสียดายเพราะไม่อยากให้เขารู้จุดหมายก่อนที่จะพาไปถึง
หลังจากถามทางแล้ว (ทุกคนที่นั่นใจดีมากๆ นอกจากจะบอกทางให้แล้ว ยังแทบจะเดินไปส่งให้ถึงที่ (ที่ที่เขาเดินเข้าไปถามนั้นเป็นค่ายมวยที่ตั้งอยู่ด้านในสุด แล้วต้องเดินผ่านบรรดาโต๊ะรับพนันมวยอีกต่างหาก ช่างกล้าชิบ!) พอรู้ทางแล้ว ก็ไม่วายที่ทั้งคู่จะหันไปขอบคุณดังๆ ขณะที่ทุกคนที่นั่นต่างยิ้มแล้หัวเราะให้
กว่าจะพ้นออกมาจากย่านนั้นได้ก็ปาไปห้าโมงเกือบจะครึ่งแล้ว เธอพาเขาไปหยุดที่สวนสันติไชยปราการ ยืนดูกลุ่มวัยรุ่นที่นั่งวาดรูแกนบ้าง จับกลุ่มเต้นบีบอยกันบ้าง อย่างสนใจ
"เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาที่นี่ล่ะ ขอบคุณมากๆ ครับ" เขาบอกยิ้มๆ และโคตรจริงใจ
ส่วนเธอได้แต่ยิ้มและเดินนำเขาไปอีกทาง ผ่านต้นลำพู (ต้นสุดท้ายของกรุงเทพแล้วมั้ง) มันยืนต้นอยู่อย่างเงียบเหงา แต่ก็ยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้
จนกระทั่งมาหยุดที่ท่าพระอาทิตย์
ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนกำลังถ่ายรูป กำลังพูดคุยกันที่ท่าเรือ
เขากับเธอได้แต่ยืนเงียบๆ มองดูแม่น้ำเจ้าพระยาและดูพระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า (อันที่จริงค่อยๆ อัสดงไปหลังสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น)
กระทั่งเขาฮัมเพลงขึ้นมาเบาๆ ขณะที่บังเอิญว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติคนหนึ่งเริ่มบรรเลงบทเพลงโดยแอคคอร์เดียนที่ม้าหินด้านหลัง
"ผมชอบเพลงนี้ล่ะ"
เขายังคงมีรอยยิ้มให้เธอเสมอ แน่ล่ะว่า เพียงรอยยิ้มที่เขามีให้ ก็ช่วยแบ่งเบาภาระอันหนักหน่วงที่เธอกำลังแบกอยู่... อย่างน้อยก็ช่วงหนึ่งที่มีเขายืนอยู่ข้างๆ เธอก็สามารถปล่อยวางภาระทั้งหลายแหล่ที่เธอแบกเอาไว้... ลงได้
"เรานั่งเรือไปต่อรถกันอีกครั้งนะ ก่อนกลับบ้าน" เธอบอกเขาแบบนี้ ขณะที่เขากำลังมองดูพระอาทิตย์
"วันนี้พระอาทิตย์สวยนะ" เธอเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด เธอจึงยิ้มอีกครั้ง พร้อมกับที่ได้ยินเขาบอกว่า
"ผมเพิ่งสังเกตว่า เวลาตาสะท้อนแสงแบบนี้ก็สวยไปอีกแบบ"
เขามองหน้าเธอตรงๆ มองเข้าไปในดวงตาของเธอ แล้วเขาก็ยิ้มอายๆ
"ผมไม่กล้ามองตาตรงๆ หรอก เพราะตาดุ เคยแอบมองสองสามครั้ง เลยเห็นว่าตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นี้สวยดี"
และก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร เขาก็หายใจเข้าลึกๆ
"ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิตนะ เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาดูพระอาทิตย์ตอนเย็นแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาท่าพระอาทิตย์ และเป็นครั้งแรกที่เราได้มาล่องเรือด้วยกัน"
แล้วทั้งเธอและเขาก็ลงเรือด่วนเจ้าพระยา เพื่อมายังที่หมายสุดท้ายก่อนกลับบ้าน
"ขอบคุณที่มาหลงกรุงเทพเป็นเพื่อนนะ" เธอบอกกับเขาเบาๆ ขณะที่นั่งอยู่บนรถ
"ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ เพราะผมได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิต ที่ผมว่าคงจะไม่ได้เห็นบ่อยๆ อย่างน้อยก็ได้รู้จักสิ่งดีๆ ที่ซ่อนอยู่ของคนข้างๆ" เขาบอกเธออย่างมีนัย
"ถามอะไรอย่างนึงนะ" เธอพยักหน้าตอบ "เคยพาใครมากินอะไรแบบนี้ แล้วไปนั่งเรือด้วยกันแบบนี้มั้ย"
เธอยิ้มตอบเขา (แน่ล่ะว่ามันเป็นรอยยิ้มที่เธอเคยมีเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ และเธอได้เก็บมันซ่อนเอาไว้ภายใต้หน้ากากแห่งความทุกข์ระทม)
"เป็นความฝันเล็กๆ ที่แอบตั้งใจเอาไว้ว่า... วันนึงจะพาคนที่เชื่อใจที่สุด มาเดินด้วยกันในเส้นทางที่เคยประทับใจที่สุด และคนที่จะพามาด้วยมีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ"
เธอบอกแบบนี้ แน่ล่ะเขาส่งยิ้มให้เธออีกครั้ง
ไม่ใช่รอยยิ้มอย่างผู้มีชัย ไม่ใช่รอยยิ้มที่แสดงถึงความทะนงหรือสำคัญตน
หากแต่เป็นรอยยิ้มที่สุดแสนจะอ่อนโยน... ที่ช่วยตอกย้ำให้เธอมั่นใจอีกครั้งว่า... เขาภูมิใจมากเพียงใดที่รู้ว่าเธอเชื่อใจเขาที่สุด
"แค่คำขอบคุณ... คงน้อยไปสำหรับความรู้สึกและหลายๆ สิ่งที่ผมได้รับรู้และเข้าใจในวันนี้... แต่ก็ขอบคุณจริงๆ"
เขาบอกกับเธอก่อนที่จะส่งเธอเดินเข้าบ้านตอนสามทุ่ม โดยหารู้ไม่ว่า... นั่นคือช่วงเวลาสุท้ายที่เขาจะได้พบและพูดคุยกับเธอ
ขณะที่เธอเดินเข้าบ้านทั้งน้ำตา... เพราะที่สุดแล้วเธอก็จากลาโดยไม่ได้เอ่ยคำลาใดๆ กับเขา
#####################
ก่อนจะนอน... เธอนั่งฟังเสียงเรียกเข้าที่ไม่ช้าก็เงียบเสียงไป จากนั้นมือถือเธอจึงส่งเสียงอีกครั้ง... ว่ามีข้อความ
"วันนี้ผมมีความสุขและสนุกมากที่สุดเลยล่ะ ปล. อย่าไปลืมผู้หญิงคนนี้กับรอยยิ้มนั้นไว้ที่ไหนอีกล่ะ เรียกเธอกลับมาได้แล้ว ฝันดีนะครับ"
เธอยิ้มอีกครั้ง... เป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าเธอกำลังอยู่ในห้วงรักและมีความสุขมากมายเหลือเกิน จากนั้นเธอก็ปิดโทรศัพท์ พร้อมกับถอดซิมออก
แล้วการวิ่งหนีความรักของเธอจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง... หลังจากที่เธอคิดว่าชีวิตนี้จะไม่มีทางได้พบเจออีกเป็นแน่แท้

ไม่มีความคิดเห็น: